ใครๆ ก็ว่า.. ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ..
เราเองก็เหมือนกัน และนี่ไม่ใช่แค่ครั้งแรกของการพิสูจน์ว่า..
เวลาแห่งความสุข มันผ่านไปเร็วจริงๆ
.
.
.
มาดูกันนะ ว่า “ช่วงเวลาแห่งความสุข” ที่บริษัท Pronto Marketing เป็นอย่างไร เราจะลองไล่ดูว่าระหว่างวันเราได้ทำอะไรบ้าง?
เราได้ Try to be Geek ด้วยแหละ โดยการทำ Kata ทุกเช้า
สำหรับใครอยากรู้ว่า Kata มันคืออะไร? กลับไปอ่านของเราได้นะ 😀
วันแรกของการฝึกงาน เราได้ทำโจทย์ FizzBuzz ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดของโจทย์นี้ว่ามันเป็นยังไง เดี๋ยวเราจะกลับมาเขียนอีกวันหลังนะจ๊ะ อดใจรอกันนิดนึง อิอิ
อันที่จริง.. เราก็ไม่เคยรู้มาก่อนหรอก ว่าการทำ Kata มันเป็นยังไง ก็เพิ่งได้เขียนรู้จากที่นี่ ว่ามันลับคมดาบเราได้จริงๆ และมันมีประโยชน์มากๆ ในการฝึกวิธีคิดโปรแกรมมิ่งของเรา หลายๆ แบบ .. แบบไหนดีที่สุด ก็ใช้อันนั้น ซึ่งนอกจากจะทำให้โค้ดของเราสวยงาม อ่านง่าย เข้าใจง่าย ลดเวลาในการทำงานของโปรแกรมแล้ว ยังฝึกให้เรากลายเป็นมนุษย์ที่มีความรอบคอบ ไม่ละเลยกับการเสียเวลาลองพิจารณา ถ้าหากเปลี่ยนแปลงอะไรนิดหน่อย มันก็จะดีขึ้น ถึงจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แต่มันก็ดีขึ้นกว่าเดิม //โห.. ช่างเป็นบริษัทที่สอดแทรกคุณธรรม..นำชีวิตจริงๆ ค่ะ
ตอนแรกๆ ของการทำ Kata เราก็ได้ทำคนเดียว.. แต่หลังๆ มา มีเพื่อนๆ เข้ามาฝึกงานเพิ่ม เย้ๆๆๆ เราก็ได้ทำ Kata แบบ Pair กับเพื่อนด้วยล่ะ อิอิ
.
.
อีกอย่างที่เราได้ Try to be Geek คือ การทำ CodeDojo ทุกวันศุกร์
การทำ Code Dojo ก็คล้ายๆ กับการทำ Kata คือการฝึกลับคมดาบเช่นกัน แต่ต่างกันตรงที่.. เราจะไม่ใช่แค่ Pair Programming ละ แต่จะมาร่วมกันทำเป็นกลุ่ม มี 3 คน ก็ทำ dojo กันทั้ง 3 คน ถ้ามี 5 คน ก็ทำ dojo กันทั้ง 5 คนนั่นแหละค่า.. วิธีการทำคือผลัดกันทำทีละคน.. process ของการทำก็คล้ายๆ กับ Kata นั่นคือ “Test > Code > Refactor”
ประโยชน์ของมันคือ.. เราทั้งหมดจะได้มาพิจารณา.. “โค้ดของเรา” ด้วยกัน ใครที่เป็นคนจับคีย์บอร์ดพิมพ์โค้ดอยู่ คนนั้นจะต้องอธิบายสิ่งที่เราทำ ให้เพื่อนๆ ทุกคนฟัง คือ.. พิมพ์ไป พูดไป.. เพราะฉะนั้น เราจะได้มีสติกับสิ่งที่เราทำ และต้องมีความเข้าใจกับสิ่งที่เราทำ ไม่ใช่เพียงแค่ท่องจำโค้ด แล้วมาพิมพ์ๆๆๆ ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้ ก็ยังฝึก communication skill อีก การพูด การอธิบาย เอาเป็นว่า Code Dojo นี่ ยิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัว.. ใครสนใจอยากจะลองทำดู แบบ Try to be Geek ก็ลองเอาวิธีการ Code Dojo ไปใช้ดูนะคะ ประโยชน์เยอะมากๆ
.
.
ได้เรียนรู้วิถีการทำงานแบบ Agile
ดูรูปข้างล่างนี้ไว้นะคะ รูปน่าร๊ากกกก โมเอะ มุ้งมิ้งฟรุ้งฟริ้ง … คงจะมีกำลังใจในการทำความเข้าใจกับ Agile โดยใช้ Scrum ในการ implement นะจ๊ะ
เราจะเรียกการทำงานใน 1 iteration ของ scrum ว่า.. ว่า ว่า ว่า ว่าาาาา า.. “Sprint” นะคะ โดยใน 1 sprint ของเราจะเท่ากับ 2 weeks (บางที่ อาจจะมีความยาวของ sprint สั้นกว่านี้ หรือยาวกว่านี้ก็ได้ แต่จะไม่เกิน 1 เดือน) ภายใน 1 sprint ก็จะมีกิจกรรมต่างๆ ตามรูปข้างบน เดี๋ยวเราจะมาดูกันว่า บรรยากาศของจริงจะเป็นยังไง
วันแรกของ sprint เราจะมีกิจกรรมที่เรียกว่า “Sprint Planing” ทั้ง part 1 และ part 2 เป็นการเลือกงานมาทำภายใน 1 sprint นี้ พร้อมกับ estimate คะแนนให้กับงานแต่ละงาน นอกจากนี้ก็ยังจะมาช่วยกันดูรายละเอียดของแต่ละงานด้วย ว่ามีรายละเอียดของการจะทำงานนั้นให้เสร็จสมบูรณ์ มีอะไรบ้าง..
หลังจากที่เรา planing เสร็จแล้ว ก็จะเอางานแต่ละงานเขียนใส่ sticky note แล้วแปะไว้ที่ physical board แต่นอกจากเราจะใช้ physical board แล้ว ก็ยังมี electronic board อีกด้วย เผื่อเอาไว้ใครอยากจะกลับบ้านไปอ่านรายละเอียดแต่ละการ์ดแบบง่ายๆ สะดวกดี อิอิ
หลังจากการทำ sprint planning แล้ว วันต่อๆ ไป ก็จะมี daily meeting ที่เรียกว่า “Standup Meeting” เป็นช่วงเวลาที่ตื่นเต้นที่สุด ทุกๆ วัน คือเราจะสั่นตลอด ตื่นเต้นบ้างไม่ตื่นเต้นบ้าง บางวันก็ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น.. แต่เป็นเพราะ แอร์ลงหัว.. //ฉันหนาวเหลือเกินนนน.. ~ ~ ตึกโป๊ะ!!! เราก็จะต้องพูดกันเป็นภาษาอังกฤษ ว่าเมื่อวานทำอะไรมาบ้าง ติดปัญหาอะไรมั้ย? แล้ววันนี้จะทำอะไรต่อไป?
หลังจาก standup meeting จบแล้ว เราก็จะมาวาดกราฟที่ Burn Down Chart หน้าตาก็ประมาณว่าเป็น Trend ถ้ามีการ์ดไหนทำเสร็จแล้ว ก็จะหัก point ของการ์ดนั้นออกจาก point ของการ์ดทั้งหมด ถ้ากราฟลงได้อย่างสวยงามคือเป็นเส้นทแยงมุม ซึ่งเป็น.. “เส้นในอุดมคติ” !!! การทำงานจริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น มันก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ออกนอกเส้นทางบ้าง อาจจะไปถึงจุดหมายได้ทันเวลา หรือไม่ทัน แล้วแต่ sprint
แล้วก็เข้าสู่โหมดการทำงานปกติในแต่ละวัน
กิจกรรมภายใน sprint ยังมีอีกนะ …
Sprint Review ที่เป็นการให้ทุกๆ คนในทีม คุยกับ stake holder ว่าที่ผ่านมามีอะไรคืบหน้าบ้าง และใน sprint นี้ จะมีอะไรอัพเดทอีกบ้าง
Backlog Refinement คล้ายๆ กับการทำ Sprint Planning คือเราจะเข้าไปอยู่ในห้อง war room เหมือนกัน มานั่งดูการ์ดใน electronic board แล้วก็มาช่วยกันดูว่า จำนวนงานที่เหลือ เหมาะสมกับระยะเวลาการทำงานใน sprint ที่เหลือหรือเปล่า? เวลาเหลือเยอะ ก็อาจจะเลือกงานมาทำเพิ่ม ไม่ได้กำหนดว่าจะเลือกกี่งาน เราจะเลือกเข้ามาเพิ่มก้ได้ หรือไม่เพิ่มก็ได้
Retrospective เราทำวันสุดท้ายของ sprint เป็นการสรุปความรู้สึกเบื้องลึกของจิตใจของแต่ละคนในทีม ว่ามีความรู้สึกยังไงกับงาน กับ sprint ที่ผ่านมา เขียนเรื่องที่ดี เรื่องที่แย่ และเรื่องที่จะพยายามทำ (พยายามทำอะไรซักอย่างให้มันดีขึ้นอ่านะ) เขียนอะไรก้ได้ มันก็เหมือนการเปิดใจของแต่ละคน เราชอบมากกับการทำ Retrospective ฮ่าๆๆๆ
ส่วนใครที่อยากจะรู้รายละเอียดของ Agile แบบ Scrum เพิ่มเติม ติดตามได้ในโพสต์ต่อๆ ไป จ้าาาา หรือจะลองหาหนังสือมาอ่านก็ได้นะ เยอะแยะมากมายจริงๆ หรือถ้าไม่อยากอ่านเป็นหนังสือ ก็ลอง search ใน google เข้าไป.. ฮ่าๆๆๆ คนพูดถึง Agile เยอะมว๊ากกกกก
เราแอบไป search ดู แล้วแว๊บไปเจอรูปนี้.. มันช่างเป็นเรื่องจริงในการทำงานของสังคมไทย ไม่ใช่เฉพาะงานสาย IT นะ แต่รวมไปถึงงานสายอื่นๆ ด้วย.. เพราะฉะนั้นมาใช้ Agile กันก็ดีนะคะ environment ของการทำงานจะได้ดีขึ้น 🙂
นอกจากนี้ เราก็ยังได้เรียนรู้เทคโนโลยี ของการ Develop และได้ลองทำจริงๆ ใช้จริงๆ ไม่รู้จะลิสต์มาหมดมั้ย เพราะเยอะจริงๆ ค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ คือเราว่าเราโชคดีมากถึงมากที่สุด และกำไรเยอะจริงๆ จากที่นี่ นี่แหละ “ทำงานจริง”
- Vagrant
- Elastic Search
- Fabric
- Test Driven Development (TDD)
- Unit Test
- Acceptance Test Driven Development (ATDD)
- Cucumber
- Capybara
- Git
- Continuous Integration (CI)
- Django
- Virtual Environment
- etc…
เราว่าเราอาจจะลิสต์ไม่หมดนะ ฮ่าๆๆๆ บอกแล้วว่าเยอะจริงๆ กำไรจริงๆ
.
.
และแล้ว.. ก็ได้ออกสู่โลกที่กว้างคือ.. ได้ไปงาน Agile Thailand 2014 และไม่ต้องห่วงสำหรับการได้ไปฟรีๆ ฮ่าๆๆๆ แต่ก่อนจะออกไปสู่โลกกว้าง ก็ได้แปลงกายเป็น.. สาวโรงงานนรก ซักนิดนึง
พูดถึงงาน Agile Thailand เป็นงานที่ให้คนที่เข้าร่วมงานมาเปิด section นั่งพูดคุยเกี่ยวกับการทำ Agile หรือใครใช้เทคโนโลยีอะไร เกี่ยวกับการทำ Agile รวมถึงเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับการทำงาน มันก็เป็นการเติมไฟให้กับเราได้เยอะเลยทีเดียว..
และแล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น.. คือ.. เปิด section กันเองด้วยจ้ะ -_- แหะๆ คือไม่ได้เตรียมอัลไล? แล้วน้องๆ จะพูดอัลไล? พี่ๆ ก็แนะนำว่าพูดถึงเรื่องการเป็น Intern in Agile Team จิๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ สรุปเหล่าสาวๆ lovely interns และอดีต lovely intern รวมทั้งหมด 4 ชีวิต จะพูดแบบกระทันหัน.. //นึกถึงตอนเรียนวิชาภาษาไทย ตอนม.5 เรียนเรื่องการพูดต่อหน้าสาธารณะชนแบบกระทันหัน !!! อื้มมม.. ได้ใช้จริงๆ เลยนะ ฮ่าๆๆๆๆ แต่ถึงจะกระทันหันมากขนาดไหน เราก็พูดจนหมดเวลานะจ๊ะ อร๊ายยย เขิลจัง.. เก่งจุง.. ถึงจะรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็สนุกดีนะ ที่ได้ทำสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำแบบนี้ อิอิ
หลังจาก Work Hard แล้วเราก็จะต้อง “Play Harderrrrrrr..” //จริงๆ เกือบจะกลายเป็น Play Hardest เลยก็เป็นได้
.
.
เริ่มจาก Snack Time ทุกวัน เริ่มตั้งแต่เวลา 15.00 น. พอนาฬิกาค่อยๆ เขยิบไปที่เวลา 15.00 น. หรือ 3.00 PM ของทุกวัน ทุกๆ คนจะเริ่มมีอาการกระอักกระอ่วนในท้อง เหมือนกับต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเติมเต็มท้องไส้ที่เริ่มจะว่างเปล่า ฮ่าๆๆ ไม่ต้องห่วงเลยว่ามาอยู่ที่นี่แล้วจะอดอยากปากแห้ง หิวโหย ขอบอกว่าเราเป็นคนที่น้ำหนักขึ้นยากมากๆ ตอนนี้ขึ้นมาละจ้ะ กิโลนึง สุดยอด หน้ากลมเลย เซ็ง T^T
ต่อให้หิวขึ้นไปอีก กับ Company Meeting and Sabai Sabai Party ทุกวันศุกร์ที่ 2 ของเดือน อันนี้งานใหญ่ รวมทั้งบริษัท อิ่มหนำสำราญมากๆๆๆๆ หุหุ พิมพ์ไป เลือกรูปไป ก็หิวไป ทำร้ายกันมากเลยนะโพสต์นี้..
Enjoy Eating in R&D Team ทั้งมีโอกาสและไม่มีโอกาสก็จะหาโอกาสกินให้ได้ ฮ่าๆๆ ช่วงเวลาแห่งการเสียพื้นที่ว่างในกระเพาะ อิ่มมากๆ ส่วนใหญ่จะเน้นบุฟเฟ่ต์ กินเข้าไปๆ น้ำหนักไม่ขึ้นให้มันรู้ไปสินะ ทั้งแซลม่อน พิซซ่า ชาบู เคเอฟซี ขอบอกตามตรง ตอนนี้หิวมากค่ะ มาม่าแพร๊ปปปส์..
พักเรื่องกินกันไว้ก่อน กลับมาสู่การบริหารเส้นเสียง ด้วยการร้องแคริโอกิ (Karaoke) สนุกมากๆ จำได้ว่าร้องตั้งแต่ หกโมงครึ่งหรือทุ่มนึงเนี่ยแหละ จนถึงห้าทุ่มได้ ฮ่าๆๆๆๆ เป็นการร้องแคริโอกิที่มันส์ที่สุดในชีวิต ร้องได้ยาวนานมาก และแหกปากได้แบบไม่ต้องกลัวข้างห้องด่า เพราะเราออกนอกสถานที่ ไม่ใช่แค่ในห้อง บลูโอ ชิดซ้ายเลย บ่องตง!
อีกอย่างของการได้เป็น intern ที่นี่ คงจะเป็นแรงบรรดาลใจให้พี่ๆ เปิด page “Girls Who Dev” ก็สาวๆ developer ใน pronto มีแต่น่ารักๆ ทั้งนั้นนิ่.. กร๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆ
เข้าไป LIKE กันได้แรงๆ ค่ะ ที่ https://www.facebook.com/girlswhodev
W E . . A R E . . L O V E L Y . . T E A M ! !
ขอบคุณรูปภาพจากทุกๆ คนใน R&D Lovely Team และความอบอุ่น ความน่าร๊ากกที่ตลบอบอวล ขอบคุณพี่ๆ ทุกคนที่สอนนู่นนี่นั่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับเราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน
ถ้ากะตั๊กเรียนจบแล้ว กะตั๊กจะกลับไปตามหลอกหลอน.. !! พี่ๆ อย่าพึ่งผวานะคะ เราได้ทำบุญร่วมกันมาแล้ว ยังไงก็คงได้เจอกันอีก เนื้อคู่กันแล้ว ย่อมไม่แคล้วกันนะ ฮ่าๆๆๆ
รักที่สุด จุ๊ฟๆๆๆ
กะตั๊ก
Reference: